พระอริยะ-พระอรหันต์

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย paang, 12 มกราคม 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,329
    [​IMG]


    คำที่ฮิตขึ้นปากชาวพุทธไทยในปัจจุบัน คงไม่มีคำไหนเกินคำว่า "อริยะ" และคำว่า "อรหันต์" เป็นแน่แท้ เพราะไปไหนก็ได้ยินคนพูดถึงพระอาจารย์รูปนั้นรูปนี้ ว่าเป็นอริยะบ้าง เป็นอรหันต์บ้าง ครั้นถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นจริง ก็ได้รับคำตอบว่าไม่รู้สิ เห็นคนเขาว่ากัน

    "เขาว่า" นี่แหละร้ายนัก ไม่รู้เขาไปไหนว่ากันให้มั่วไปหมด และผู้ที่เขาว่าเป็นอริยะ อรหันต์ ก็มักจะเป็นผู้มีปฏิปทาแปลกๆ บางคนก็มีข่าวว่าเป็นอลัชชีทุศีลเสียด้วย แต่ก็ได้รับเรียกขานว่าเป็น อริยะ หรืออรหันต์

    ก็ "อรหันต์ตั้ง" (คือหน้าม้าตั้งให้เอง) ทั้งนั้นแหละครับ

    บังเอิญได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง แต่งโดยพระพรมหคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ตั้งแต่ดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมปิฎก ชื่อ "เมืองไทยจะวิกฤติ ถ้าคนไทยมีศรัทธาวิปริต" ฟังแต่หัวข้อเรื่องในหน้าแรกๆ ก็สะดุ้งแล้วครับ

    ท่านให้หัวข้อว่า "สังคมไทยกำลังใช้พระพุทธศาสนาเป็นที่ถ่ายทุกข์" ถ่ายทุกข์อย่างไร เชิญไปหาหนังสือมาอ่านเองเถอะครับ ผมจะขอผ่านไป ขอเปิดข้ามไปถึงตอนที่ว่าด้วย ความแตกต่างกันระหว่าง "ผู้วิเศษ" กับ "พระอริยะ" ดีกว่า

    ท่านว่าไว้ดังนี้ครับ

    "ผู้วิเศษคืออะไร เรามักจะเรียกคนมีฤทธิ์นั้นเองว่า เป็นผู้วิเศษ เช่น โยคี ฤๅษี ดาบส ก่อนพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น ก็มีโยคี ฤๅษี ดาบส เยอะอยู่ในป่าได้ฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เราเรียกได้ว่าเป็นผู้วิเศษ คือผู้มีฤทธิ์นั่นเอง

    ส่วนความหมายของพระอริยะ คืออะไร พระอริยะคือ ท่านผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากกิเลสก็คือ หมดจากโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่ากำจัดความโลภ โกรธ หลง ให้ลดน้อยเบาบางลง กิเลสน้อยลงไปๆ จนกระทั่งว่าเป็นอริยะสูงสุด ก็คือ เป็นพระอรหันต์ หมดโลภะ โทสะ โมหะ

    ผู้วิเศษไม่จำเป็นต้องเป็นอริยะ แต่ก็มีพระอริยะหลายองค์ พระอรหันต์หลายองค์ท่านได้ฤทธิ์ ได้ฌาน ได้สมาบัติ ทีนี้ถ้าท่านได้นี่ก็เป็นความรู้พิเศษของท่าน เป็นความสามารถที่เอามาใช้ประโยชน์ ในการประกาศพระศาสนาได้

    พวกฤทธิ์ พวกความวิเศษนี่ ถ้าไปอยู่กับคนชั่วก็ใช้ในทางร้าย เอาไปหาลาภสักการะเพื่อตนเอง เอาไปทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น เอาไปหลอกลวงประชาชน ถ้าเป็นคนที่ดี ท่านก็เอาไปใช้ในการทำงานพระศาสนา

    ท่านที่ใช้ในทางที่ถูกต้อง จะไม่ล่อให้ประชาชนหลงใหล เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วจะใช้ให้เป็นทางเพียงเพื่อให้โยมเกิดปัญญา ฉะนั้น โยมต้องแยกให้ถูกระหว่างผู้วิเศษ กับพระอริยะ

    ความวิเศษไม่ใช่เครื่องตัดสินความเป็นพระอรหันต์ หรือความเป็นพระอริยะ ฉะนั้นพระอริยะ หรือพระอรหันต์บางท่าน ท่านไม่มีหรอกเรื่องความวิเศษที่จะให้โยมได้เห็นฤทธิ์อะไรเวลาท่านไปไหน ท่านก็ไปธรรมดาๆ โยมก็ไม่ตื่นเต้น ตรงกันข้ามกับเห็นผู้วิเศษ ฉะนั้นต้องแยกกันให้ถูก ถ้ารู้หลักพระศาสนาแล้วก็แยกได้ หมดปัญหา

    ทีนี้ก็ตอบคำถามที่เนื่องกันไปนิดหน่อยว่า ก็แล้วจะรู้ว่า ใครเป็นพระอริยะ หรือใครเป็นพระอรหันต์ ใครเป็นผู้ตัดสิน

    ผู้ที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นอริยะ ก็ต้องเป็นอริยะเองก่อน พระอรหันต์จึงจะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ คือต้องเป็นคนระดับเดียวกันหรือสูงกว่า อันนี้เป็นหลักทั่วไป เอาแค่หลักทั่วไปก่อน

    อันนี้ต้องระวัง ประชาชนปัจจุบันมีความโน้มเอียงในการที่จะไปเที่ยวตั้งพระองค์โน้นเป็นพระอรหันต์ ตั้งพระองค์นี้เป็นพระอริยะ ระวังเถอะ มันเป็นเรื่องที่จะทำให้เสียหลักพระศาสนา

    แต่เรามีสิทธิที่จะพิจารณาด้วยปัญญา เรามีหลักเราก็ดู และตรวจสอบได้ว่าพระองค์นี้มีความประพฤติดีงาม ตั้งอยู่ในหลักพระธรรมวินัย ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า น่าเลื่อมใสหรือไม่ เราอาจจะสันนิษฐานอะไรก็อยู่ในใจของเรา แต่อย่าเพิ่งไปวินิจฉัยตัดสิน"

    สรุปก็คือ "ผู้วิเศษ" นั้นหมายถึงผู้ได้ฌาน มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ดังเช่น พวกฤๅษี ดาบส เป็นต้น พวกเหล่านี้ยังละกิเลส (โลภ โกรธ หลง) ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิทธิเป็น "อริยะ"

    เพราะพระอริยะนั้น หมายเอาผู้ที่ละกิเลสให้เบาบางลงตามลำดับๆ จนกระทั่งเป็นอรหันต์ ละกิเลสได้หมดสิ้น ในคัมภีร์ท่านจึงแบ่งพระอริยะไว้ 4 จำพวก คือ

    1. พระโสดาบัน
    ละกิเลส (สังโยชน์) ได้ 3 คือ ความยึดติดในตัวตน (สักกายทิฐิ), ความลังเลสงสัย เช่น สงสัยว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จริงหรือเปล่า (วิจิกิจฉา) และความถือศีลและวัตรผิดเป้าหมายของศีลและวัตร เช่นรักษาศีลเพื่อให้คนรู้ว่าตนเคร่ง เป็นต้น (สีลัพพตปรามาส)

    2. พระสกคามี ละกิเลส 3 อย่างข้างต้นนั้นได้ และยังทำโลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลงอีกด้วย

    3. พระอนาคามี ละความกำหนัดในกาม (กามระคะ) และความกระทบกระทั่งใจ (ปฏิฆะ) ได้

    4. พระอรหันต์ ละกิเลส 5 อย่างข้างต้นได้ รวมกับอีก 5 อย่าง รวมเป็นละได้ครบ 10 คือ ความติดในรูปธรรมอันประณีต เช่น ติดในความสุขสงบอันเกิดจากสมาธิชั้นรูปฌาน (รูปราคะ), ความติดในอรูปธรรม เช่น ติดในอารมณ์แห่งอรูปฌาน (อรูปราคะ), ความถือตัว (มานะ), ความฟุ้งซ่าน (อุทธัจจะ) และความไม่รู้เท่าทันสภาวะ ไม่เข้าใจกฎแห่งเหตุปัจจัย (อวิชชา)

    ผู้วิเศษที่ได้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นอริยะ แต่พระอริยะมากมาย ท่านได้อิทธิฤทธิ์ ได้ฌานสมาบัติเป็นผู้วิเศษด้วย นอกเหนือจากการหมด กิเลสโดยสิ้นเชิง (มีจำนวนน้อย คือพวกที่ผ่านเฉพาะสายวิปัสสนาล้วนๆ เท่านั้น ที่ท่านไม่มีอิทธิฤทธิ์)

    ปัจจุบันนี้มักจะได้ยินคนกล่าวว่าพระรูปนั้นรูปนี้เป็นพระอรหันต์ ความจริงการจะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นนั้น มิใช่เรื่องง่ายๆ คนที่จะรู้ว่าใครเป็นอรหันต์หรือไม่ ตนเองต้องเป็นอรหันต์เสียก่อนจึงจะบอกได้

    นึกถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล วันหนึ่งขณะเฝ้าพระพุทธองค์อยู่ พระเจ้าปเสนทิโกศล เห็นพวกนักบวชไม่นุ่งผ้า (นิครนถ์) เดินผ่านไป กราบทูลพระพุทธองค์ว่า "นักบวชพวกนั้น เป็นพระอรหันต์ พระเจ้าข้า"

    พระพุทธองค์ดำรัสตอบ ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลถึงกับสะอึก พระองค์ตรัสว่า

    "มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม รู้ได้อย่างไรว่านักบวชพวกนั้นเป็นพระอรหันต์" พูดให้ชัดก็คือ คฤหัสถ์นอนกอดเมียอยู่ทุกวัน ยังมีหน้ามารู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็น!

    เล่นเอาพระราชาทรง "เขิน" จึงสารภาพว่า ความจริงนักพรตพวกนั้นเป็น "สปาย" ที่พระองค์สั่งให้ไปสืบตามหัวเมืองต่างๆ ว่าใครกำลังคิดร้ายหรือเอาใจออกห่างบ้าง

    ชาวบ้านหนาด้วยกิเลส ที่กล้าชี้ว่าพระรูปนั้น รูปนี้เป็นอรหันต์ จึงเป็นเรื่องน่าหัวเราะ

    หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเรียนถามเจ้าคุณนรฯ วันหนึ่งว่า ท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า หลวงพ่อดึงหูคุณชายมาใกล้ๆ แล้วกล่าวดังๆ ว่า

    "xxx บ้า"



    ที่มา : นสพ.มติชน รายวัน หน้า 6 คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
    วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10144
     
  2. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,921
    โมทนาสาธุครับ

    รองประธานกรรมการกฐิน 1 กอง 2,000บาท(เตรียมไว้ 15 กอง)
    ร่วมบุญ 1 กองมอบวัตถุมงคลให้บูชา 1 ชุดประกอบด้วย

    ชุดที่ 1(เตรียมไว้ 5 กอง)
    1.เหรียญมหาลาภวัดโพธิ์สุทธาวาส(ชุบทอง) 1 ชุด(3เหรียญ)
    2.เหรียญที่ระลึกผูกพัทธสีมา(ผูกโบว์)สีทอง 1 เหรียญ
    3.เหรียญพระชัยหลังช้าง หลังพิม์ สก. 1 เหรียญ
    4.พระบรมสารีริกธาตุ 7 องค์ในผอบแก้วสวยหรู
    [​IMG] [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...