ทานบารมี...........แม้มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ก็ไม่อาจจะขัดขวางการสร้างทานบารมีได้.....

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 17 มกราคม 2006.

  1. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    ทานบารมี...........แม้มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ก็ไม่อาจจะขัดขวางการสร้างทานบารมีได้.....
    <HR style="COLOR: #6bc7c7" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->.......พระโพธิสัตว์ได้เวียนว่ายตายเกิด สั่งสมบุญบารมีเรื่อยมา ไม่ว่าพระองค์จะเกิดมาเป็นอะไรก็ตาม ทรง มีพระทัยมั่นในการสร้างทานบารมีอยู่เสมอ ถึงแม้มนุษย์ เทวดา มาร พรหม มาห้ามไว้ก็ไม่อาจจะขัดขวาง การสร้างทานบารมีของพระองค์ได้ ดังเรื่องของวิสัยหเศรษฐี ดังนี้


    วิสัยหเศรษฐี


    ........ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเศรษฐี มีชื่อว่าวิสัยหะ เป็นผู้ที่รุ่งเรืองด้วยทรัพย์ มีอัธยาศัย รักการให้ทานเป็นอย่างยิ่ง ทานที่ท่านให้ล้วนแต่เป็นทานที่ประณีตเช่นเดียวกับที่ตนบริโภค ท่านให้ทาน เป็นจำนวนมากทุกวัน เป็นที่พึ่งของคนยากจน และคนที่มีความเดือดร้อนทั่วไป ท่านปรากฎดุจพระจันทร์ วันเพ็ญของชนทั้งหลาย

    ท้าวสักกเทวราชทรงทราบเรื่องนี้ เกิดร้อนพระทัยขึ้นว่า วิสัยหะทำทานมากอย่างนี้ คงมุ่งที่จะเป็นท้าว สักกะแทนเรา เราคงจะต้องพลัดพรากจากตำแหน่งนี้เป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย เราควรทำให้เศรษฐีนี้กลาย เป็นคนยากจน จนไม่สามารถให้ทานได้อีกต่อไป แล้วจึงบันดาลด้วยฤทธิ์ ให้สมบัติทั้งปวงของวิสัยหเศรษฐี ได้อันตรธานไปสิ้น ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเหลืออยู่พอที่จะให้ทานได้เลย

    เศรษฐีกล่าวกับภรรยาว่า " ทาน คือ ชีวิตของเรา ชีวิตที่ปราศจากการให้ทาน ไม่มีประโยชน์ เราจะ หยุดให้ทานไม่ได้ เธอจงไปค้นหาสมบัติมาเพื่อทำทานเถิด "

    นางเที่ยวค้นหาทรัพย์ไปทั่วบ้าน ก็ไม่พบอะไรเลย พบแต่เคียวกับไม้คาน และเชือกที่คนหาบหญ้าคนหนึ่ง ทิ้งไว้ที่ประตูบ้าน จึงนำของทั้งหมดนั้นมาให้เศรษฐี

    เศรษฐีได้พูดกับภรรยาว่า " ฉันไม่เคยเกี่ยวหญ้ามาก่อนเลยในชีวิต แต่วันนี้จะต้องไปเกี่ยวหญ้ามาขาย แล้วให้ทานตามสมควร " เมื่อเขาไปเกี่ยวหญ้า ได้หญ้ามาจำนวนหนึ่ง เมื่อขายหญ้าได้ก็ตั้งใจว่า ครึ่งหนึ่ง จะให้ทาน อีกครึ่งหนึ่งจะใช้เลี้ยงชีพตนกับภรรยา แต่วันนั้นมีคนยากจนมาขอเป็นจำนวนมาก เขาและ ภรรยาได้ทำทานไปจนหมดสิ้น เป็นผลให้วันนั้นต้องอดอาหารไป

    โดยทำนองเดียวกันนี้ เศรษฐีต้องทำงาน บริจาคทาน อดอาหารถึง ๖ วัน ติดต่อกัน พอวันที่ ๗ ขณะ ที่กำลังหาบหญ้าเดินมาถูกแสงอาทิตย์แรงกล้าตอนใกล้เที่ยงแผดเผา ประกอบกับความเหนื่อยและหิว จึง เกิดอาการวิงเวียนและเป็นลมล้มทับหญ้าที่หาบมา


    ท้าวสักกะเสด็จเที่ยวติดตามดูการกระทำของเศรษฐีนั้นอยู่ตลอดเวลา ประทับอยู่ในอากาศตรัสว่า

    " เมื่อก่อนนี้ท่านมีทรัพย์มาก แต่ต้องจนลงสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะการให้ทาน การให้ทานไม่ได้ช่วยอะไร ท่านเลย เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ไป ท่านไม่ควรให้ เมื่อท่านประหยัดทรัพย์ โภคะก็จะดำรงอยู่ ท่านจักมั่ง คั่งอย่างเดิม ท่านให้ปฏิญาแก่ข้าพเจ้าได้ไหมว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ท่านจะไม่ให้ทานอีก


    .......เศรษฐีได้ฟังดังนั้น จึงถามว่า " ท่านคือใคร " ท้าวสักกะตอบว่า " เราคือท้าวสักกะ " เศรษฐีจึงกล่าว ว่า " ธรรมดาท้าวสักกะพระองค์เองจะให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ ( หลักปฎิบัติ ๗ อย่างที่ทำให้เป็นท้าวสักกะ คือ เลี้ยงมารดาบิดา เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล พูดคำสุภาพอ่อน หวาน พูดสมานสามัคคี ชอบเผื่อแผ่ให้ปันปราศจากความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ระงับความโกรธได้ ) แต่พระองค์ทรงห้ามการให้ทาน อันเป็นเหตุแห่งความเป็นใหญ่ของพระองค์ พระองค์มิได้กระทำสิ่งที่ ผู้ประพฤติธรรมควรทำ " แล้วเศรษฐีได้กล่าวอย่างอาจหาญ ต่อไปอีกว่า



    " ถ้าทรัพย์ใดเกิดขึ้นแล้วทำให้ข้าพเจ้าต้องหวงแหนทรัพย์นั้น ขอทรัพย์นั้น จงอย่าเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า เลย " ข้อปฎิบัติอันดีงาม อันประเสริฐ ที่เราเคยบำเพ็ญมาก่อน เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราจงทำต่อไป อย่าได้หยุดเลย แม้เราจะเป็นคนหาบหญ้า เราก็จะให้ทานตราบเท่าชีวิตเรายังมีอยู่ เราจะไม่ละเลยการให้ ทานเลย เราจะให้ทานเหมือนอย่างเดิม "

    ท้าวสักกะ มิอาจห้ามวิสัยหเศรษฐีให้หยุดทำทานได้ จึงตรัสถามว่า ท่านให้ทานเพื่อประโยชน์อันใด เศรษฐีทูลว่า " เรามิได้ปรารถนาจะเป็นท้าวสักกะเลย เราทำทานเพื่อมุ่งพระสัพพัญญุตญาณ เพื่อขนสัตว์ ให้พ้นจากสังสารวัฏ "

    ท้าวสักกะทราบดังนั้นแล้วทรงดีพระทัยมาก จึงเอาพระหัตถ์ลูบหลังของเศรษฐี กายของเศรษฐีก็บริบูรณ์ ด้วยอนุภาพของท้าวสักกะ และทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็กลับมาเป็นของเศรษฐีดังเดิม แล้วยังทรงประทาน ทรัพย์อันมีค่ามากสุดจะประมาณได้ให้ไว้ในเรือนของวิสัยหเศรษฐี เพื่อจะได้ทำทานตลอดไป



    **ความเป็นผู้มีจิตใจที่สูงส่ง ประกอบไปด้วยการให้ แม้จะพบอุปสรรคมากมายแต่ก็ไม่หวั่นไหว ให้อย่าง ต่อเนื่องและเต็มกำลัง ด้วยผลแห่งบุญนั้นย่อมนำมาซึ่งประโยชน์สุขแห่งตน เปรียบเหมือนดั่งสายน้ำที่มี การถ่ายเทอยู่เสมอ น้ำเก่าไหลไปน้ำใหม่เข้ามา เป็นน้ำที่ใส สะอาด จิตใจของผู้ให้ก็เช่นเดียวกัน ยิ่งให้ ก็ยิ่งใสสะอาดและบริสุทธิ์ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุข

    ที่มา พันทิพดอดคอม



    http://www.agalico.com/board/showthread.php?p=11325
     
  2. GAN9

    GAN9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +1,249
    โมทนาครับ
     
  3. บ.ใบไม้

    บ.ใบไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +325
    โมทนาครับ
     
  4. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    นี่เป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์จริงๆ
     
  5. เกจิหนุ่ม

    เกจิหนุ่ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,517
    โมทนาครับ..คิดเหมือนกันกับคำอ้นเลยครับ
    เป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์โดยแท้จริงเลย
     
  6. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    องค์สมเด็จท่านคงเหนื่อยมาก ในชาตินั้น

    คงเหงื่อตก บริจาคจนยากจน แดดแรง รักษาจิตดีใจขณะให้ทาน จิตใจมั่นคงในทาน ... คำว่าชีวิตของตัวเองไม่ได้สำคัญกว่าการให้ทาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...