ช่วยสอบอารมณ์ผมทีว่า

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 26 เมษายน 2016.

  1. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ผมเริ่มศึกมา 4 -5 ปี จาก utube แต่ไม่ได้ติดต่อกัน ช่วงปีที่แล้วผมยังไม่รู้ว่าอารมณ์ผมอยู่ระดับใดคือเวลาผมทำสมาธิเมื่อกำหนดจิตให้ว่างขาจะวูบๆอ่อนแรง เป็นเวลาปีๆ พายเรือในอ่างครับ แต่เมื่อ มกราคา 59 นี้ผมตั่งใจคือ รักษาศีล 5ไม่ตียุง ไม่ขี้เกลียด และไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น เวลาทำสมาธิก็เปิด utube ไปด้วยมีเสียงครับ หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ เกิดอาการจิต นิ่ง เรียบ เงียบ ตัวเกร็ง และรู้สึกว่ากายภายในหมุนเป็นวงกลมจังหวะนี้นึกไม่ออกว่าเราหันหน้าไปทางไหนเหมือนว่าหลุดจากความคิดภายนอกครับ พอช่วงวันหลังๆ ทำใหม่เมื่อพอเกิดอาการแบบมะกี่ผมก็ไม่สนมุ่งทำจิตนิ่ง และยิ่งรู้สึกว่ายิ่งหมุนเร็วขึ้น และก็ทำแบบนี้ทรงอารมณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆจนรู้สึกด่านๆกับการหมุนนิ่งๆไปเอง และในช่วงหลังๆนี้เวลาผมกำหนดจิตว่างอาการวูบๆจะขึ้นมาถึงแขนครับ และช่วงล่าสุดนี้ เมื่อพออาการหมุนๆนิ่งด่านๆไปเองจิตจะอยู่ที่หัวมีอาการหัวโตหน่อยๆได้ยินเสียงหัวใจเต้นชัดเจนลมหายใจช้ามากเกือบนิ่ง เวลาการทำสมาธิดีขึ้น จาก 30 นาที ถึง 90 นาที คือ 90นาทีขาก็ไม่ชา ครับลุกเดินได้ทันที เเต่ก่อนนี้ตอนนั่งได้ 30นาทีถ้าฝืนไป 55 นาทีปวดมากครับทนมากทรมานมากครับ แล้วล่าสุดตันครับผมยังไม่ไปต่อ แนะนำทีครับท่านให้เข้าถึงชาญ 4ล ะเอียดอย่างไรดีครับ เเละตอนนี้ผมถึงชาญที่เท่าไรครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,487
    ถ้าเป็นส่วนตัวจะแนะนำให้อย่างนี้นะครับ
    ถือว่าเล่าให้ฟังเฉยๆแล้ว..เพราะตอนนี้อ่านแล้ว
    อาจจะยังงงๆอยู่ครับ..
    แต่ว่าลองๆอ่านดูก่อนนะครับ..
    ถ้าไปฏิบัติ ของคุณจะเข้าประมาณเดือนที่ ๓ จะเริ่ม
    เห็นผลและเข้าใจได้ดี หากย้อนกลับมาอ่านและถ้าผ่านไป
    แล้ว ๕ เดือนนะครับที่ๆเคยเป็นมาทั้งหมดจะไม่มีเหลือ..
    .เด่วจะทราบได้เองในอนาคตนั่นหละครับ..ว่าอะไรเป็นอะไร

    ตอนนี้ให้ตัดเรื่องการไปให้ความสำคัญกับระดับฌานออกไปเลยนะครับ...
    กิริยาของคุณส่วนตัวเรียกว่า กระแสครึ่งรอบครับ..งงไหม..
    คือหมุนๆไปครึ่งรอบ แล้วก็หมุนเหวี่ยงไม่เป็นวงกลม
    และหมุนเหวี่ยงมาเกี่ยวกับร่างกาย. มันหมุนคล้ายๆ
    เราเอามะม่วงมาผ่าครึ่งครับ เด่วคอยลองสังเกตุทิศทาง
    การหมุนดูนะครับ...เป็นเหตุให้มีอาการต่างๆที่เป็นอยู่...
    เพราะกระแสพลังงานที่จะออกไปภายนอก มันยังไม่ทิ้งกายไม่หมด
    ในขณะที่มันกำลังทำงานครับ

    วิธีแก้ให้ปรับแก้ระบบหายใจใหม่เพื่อรองรับ
    กับกระแสที่ถูก และจะเป็นกระแสที่จะสามารถ
    ให้เราสามารถนำไปใช้ทำอะไรๆได้
    ตลอดจนหนุนในเรื่องการสติและเดินปัญญาได้ดีครับ..

    หายใจเข้าและออก ให้ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหยุดที่
    ปลายจมูก และหายใจให้ลึกถึงท้อง หายใจเข้าท้องพอง
    หายใจออกท้องยุบ แต่ไม่ต้องไปตามลมหายใจนะครับ
    (ตรงนี้ต้องระวังนะครับ เพราะมันเกี่ยวกับการตัดร่างกาย
    ในขณะที่เข้าสู่เรื่องพลังงานด้วยครับ)
    เรื่องการปรับระบบหายใจ และทำความรู้สึกรับรู้
    ไม่ต้องรีบร้อนนะครับ ทำไปเรื่อยๆครับ..
    เอาจะกระทั่งมันกลายมาเป็นระบบหายใจ
    ปกติของเราในขณะลืมตาครับ..
    เรื่องสมาธิเรื่องการสัมผัสพลังงานไม่ต้อง
    ไปใส่ใจ มันมีอยู่แล้วตอนนี้ครับ..
    เพียงแต่ว่า ปรับระบบหายใจ
    ใหม่ ระลึกรู้ลมเข้าออกใหม่..
    เผื่อจัดระเบียบให้มันเท่านั้นเองครับ...
    ประมาณนี้ครับ
    ถ้าที่ควรคือ ที่หน่อง กระแสหมุนรอบหน่อง รอบโคนขา
    ที่ลำตัวช่องท้องหมุนกระทบหน้าท้องภายในและหลัง
    บริเวณเดียกันภายใน แต่เหนือขึ้นมา กระแสจะวิ่งตรง
    ขึนบนไม่ว่า ตามแนวลำตัวด้านหน้าแล้วด้านหลัง
    ส่วนแขนที่ต่อกับมีจะหมุนรอบแขนครับ

    ปล.เล่าเผื่อไว้ครับ แต่ยังไม่ต้องให้ความสำคัญ ณ ตอนนี้
     
  3. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ได้ประโยชนย์มากครับ

    เรื่องการหมุนผมจะหมุนขวาอย่างเดียวครับ อันนี้ผมก็ งงๆ

    จริงนะครับที่ผมมีปัญหาเรื่องลมหายใจ ผมสุขเอาเผากินไปครับ ช่วงหลังๆเน้นเอาอารมณ์ที่เคยเข้าถึงที่ดีที่สุดนำมาใช้เลยครับ ไม่ค่อยได้กำหนดลมหายใจเลยครับ

    ผมติดข้องใจ 2 อย่างคือ การที่หูไม่ได้ยิน อารมณ์ผมมันยังไม่มีกำลังยังไม่หนักพอ หูยังสามารถได้ยินได้ไม่ยากครับ ติดๆดับๆครับ ผมงงอีกอย่างว่าหลวงพ่อฤาษีบอกว่าเข้าชาญ4 เเล้วจะดีดกลับมาที่อุปจารสมาธิอันนี้ผมงงสุดๆ เเต่เชื่อนะครับ เคยรู้สึกคล้ายๆ พอจิตนิ่งรวมมากๆเเน่นมากๆ มันจะรู้สึกวูบอารมรณ์ระเบิด หูกลับมาได้ยินเสียงชัดเจนอารมณ์มีความเเจ่มใสมาก อารมรณ์สงัดเเน่นหายไปหมดเลย งงเลยผม

    ขอบคุณครับผมที่เเนะนำครับ
     
  4. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,622
    ค่าพลัง:
    +3,015




    การหมุนในสมาธินั้น
    มีมานานแล้วครับ
    ถึงขนาดที่ว่า
    ผู้ที่สอนนั้น คิดว่า
    ตนเองบรรลุธรรมเลยที่เดียว

    แต่ สมาธิหมุน นั้น เป็นแค่อาการของ ปิติ ครับ
    คือ ถ้ายังรับรู้ถึงการหมุนได้
    แสดงว่า ยังอยู่ในญานขั้นต่ำครับ

    แต่ในญานขั้นต่ำนี้แหละ
    ที่จะทำให้เกิด อภิญญา ขึ้น

    และที่คุณบอกว่า
    หลังจากหมุน แล้วนิ่งไป
    ตรงนิ่งนี้ คือ ญานลึก หรือ ญานสี่ นั่นเอง

    ที่นี้ จะมีสองประเด็น คือ
    หนึ่ง ที่คุณรับรู้การเต้นของหัวใจได้
    อันนี้ จะเรียกว่า การใช้อภิญญา ทางหู
    คือ การฟังนั่นเอง
    หากจับตรงนี้ได้บ่่อยๆ
    ต่อไป หูจะรับรู้ได้ดีครับ
    อาจจะได้ยินเสียงที่เป็น ทิพย์ ได้

    ส่วนประเด็นที่สอง คือ
    การเข้าญานที่สี่ หรือ อาการนิ่ง นั่นเอง
    หากทรงไว้ได้ตลอด จะเรียกว่า
    การทรงญาน หรือ เข้าญานสี่

    แต่ส่วนตัว ขอแนะนำว่า
    หากฝึกใหม่ ให้เน้น การทำสมาธิ
    คือ การเข้าญานสี่ ให้คล่องก่อน
    เมื่อคล่องดีแล้ว อภิญญา จะตามมาเอง

     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,487
    เด่วช่วยเสริมอีกนิดนะครับ...เพื่อให้เห็นภาพแบบรวมๆ


    เด่วเล่าให้ฟังต่อครับ..ก่อนจะไปเรื่องที่ยังติดข้องใจนะครับ...
    อ่านดูแล้วน่าจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นครับ...
    เรื่องที่มันหมุนขวาไม่จะหมุนแบบตอนเข้า
    สมาธิที่หมุนขวาหรือรู้สึกว่ามีพลังงานหมุนรอบๆหน่อง
    และแขนในเวลาปกตินั้นนี่ก็หมุนขวาแต่จะคล้ายเม็ดมะม่วง
    อย่างที่เราให้ฟังก่อนหน้านี้ครับ คือถ้า ปกติจะหมุนขวารอบๆ
    หน่อง รอบๆแขนแบบว่า ไม่มีกระพลังงานส่วนใดมาโดนหน่อง
    โดนแขน ให้ลองสังเกตุเพิ่มเติมในเวลาปกติดูนะครับ..


    จริงๆมันไม่ใช่เรื่องพิศดารอะไรเลยครับ...
    มันเป็นธรรมชาติปกติสำหรับมนุษย์
    ก็เพราะสาเหตุว่า สภาวะนี้เกี่ยวข้องกับพลังงานมีแหล่งพลังงานอย่าง
    หนึ่งในการช่วยหมุนอยู่แล้วในธรรมชาติ ก็คือ ปริมาณแร่เหล็กใน
    เลือดของเรานี่หละครับ..ปกติในเส้นเลือดดำของมนุษย์จะมีแร่เหล็ก
    อยู่แล้วเป็นปกติครับ ส่วนจะมีมากน้อยก็สุดแล้วแต่ คนที่มีปริมาณ
    แร่เหล็กในเม็ดเลือดดำมาก ก็จะสัมผัสพวกพลังงานต่างๆสัมผัสต่างได้ดี
    กว่าคนปกติหรือถ้านั่งสมาธิอาการที่แบบว่าหมุนในกายของคุณ
    เค้าก็จะยิ่งหมุนได้เร็วกว่าเท่านั้นเองเรียกว่าต่างกันที่ความเร็ว
    ในการหมุน..


    ....เพียงแต่ว่าอาการที่หมุนในกายนี้ ทางตำราจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่
    แต่ในทางปฏิบัติ มันเป็น ๑ ใน ๔ กิริยาปกติ
    ถ้าเรายังอายุไม่มากและไม่ได้ผ่านเรื่องราว
    ในชีวิตมาแบบว่า พรุ้งนี้โลกจะแตกแต่เรานอนหลับได้สนิท ถ้าฝึก
    สมาธิมามักจะเจอกันทุกคนครับ.
    ยกเว้นว่าเราจะ
    .ลำดับอาการมันจะเป็นอย่างนี้
    ลองสังเกตุดู คือ ๑.เหมือนจิตหลุดไปเลย
    ไปโผล่บริเวณใกล้ๆที่เราอยู่ ถ้านั่งสมาธิเข้าได้ใหม่ๆ
    หรือเหมือนเราหกคะเมนตีลังกาแบบ หาท่าหาทิศทางไม่เจอ
    ๒.คือเหมือนๆกำลังหมุนอยู่คล้าย
    คลื่นงวงช้าง
    ๓.กำลังจะผุดขึ้นมาแล้วเริ่มหมุนคล้ายๆก้อนหอย
    และ ๔.ก็คือนิ่งๆ นั่นหละครับ
    ซึ่งขอบอกว่า ถ้าไม่ใช่บุคคลแบบที่กล่าวจะต้องเจอ
    กันแทบทุกคนมันเป็นเรื่องที่สุดแสนธรรมดาๆครับ
    แต่ถ้าคนอายุมากๆ ผ่านโลกมาเยอะ จะไม่มีอาการ
    ในข้อที่ ๓ และ ๒ ครับ...
    ให้เรา ถ้าลองสังเกตุดู ถ้าเราสมาธิดีๆ
    เราจะมาอาการที่ ๔ ได้เลย.


    ตั้งแต่อาการข้อที่ ๑. ถึง. ๓ ทางปฏิบัติ
    ถือว่าตัวจิตมันเกิดอยู่ครับ. ไม่ดี. ไม่ควรสนใจ....
    เพราะบ่งบอกว่า กำลังสติทางธรรมเรายังอ่อน
    ให้มาเจริญสติในชีวิตประจำวันเพิ่มอย่างไรก็ได้
    ขอให้ฐานอยู่ที่กาย หรือวิธีการปรับระบบลมหายใจ
    ที่แนะให้ก่อนหน้านั้นก็เพื่อมาหนุนตรงนี้ส่วนหนึ่งเช่นกันครับ


    แต่ที่นี้. คุณต้องเข้าใจสภาวะจิตปกติ. อีกอย่างคือ เมื่อตัวจิต
    มันถึงกำลังสมาธิระดับสูงคือ ในระดับอาการที่ ๔ ได้ตัวจิต
    มันจะไปเองโดยธรรมชาติของมัน ย้ำว่าเป็นไปเองและบังคับ
    ให้มันไม่เป็นก็ไม่ได้ครับ เพราะมันเป็นไปตามการสะสมในอดีต
    ที่เคยผ่านมาครับ....
    กรณีที่หนึ่ง ส่วนตัวเรียกว่า จิตในจิตก็คือ มันจะคล้ายๆแสงสีขาว
    สว่างโล่งแล้วก็เข้าไปในศูนย์กลางเรื่อยแสงสีขาวนั่นเรื่อยๆ มีแต่แสง
    สีขาวๆนะครับ และสุดท้ายมันก็จะเกิดการระเบิดเสียงดังมากๆครับ...
    ถ้าเราเป็นแบบนี้ พอเราลืมตาขึ้นมา และใช้ชีวิตปกติประจำวัน
    ความสามารถพิเศษทางจิตอะไรที่เราเคยทำได้ ในอดีตมันจะ
    สามารถใช้งานได้เหมือนปกติๆธรรมดาครับ นี่คือหลักสังเกตุกรณีนี้ครับ...


    กรณีที่สอง ถ้าถึงระดับอาการที่ ๔ แล้วตัวจิตเห็นอวัยวะในร่างกาย
    ในเองได้ ไม่ว่าจะชิ้นส่วนไหนนะครับ หรือได้ยินมันทำงานร่วมด้วย
    ไม่ว่าจะชิ้นส่วนไหนก็ตาม แสดงว่าตัวจิตมันสะสมมาในเรื่องของการ
    ตัดความยึดมั่นถือมันในร่างกายครับ....ที่บุคคลส่วนมากมักจะเห็นหัวใจ
    ตัวเองก่อนก็เพราะว่า เราเกิดมาจะติดสัญญาว่า ตัวจิตมันอยู่ตรงหัวใจครับ..
    พอเราผ่านอาการ ทั้งข้อ ๑ ๒. ๓ ๔ มา ตัวจิตมันก็จะเป็นไปตามสัญญา
    ที่ชัดเจนที่สุดก่อน ก็คือสัญญาในชาตินี้ มันจะมักจะมองเห็นดูหัวใจเราก่อน
    ที่เราเห็นเหมือนเป็นสีเขียวอ่อนๆออกมืดๆนั่นหละครับ....
    ที่นี้พอยังรักษากำลังสมาธิได้ ตัวจิตมันก็จะไปสัญญาเดิมในอดีตก็คือ
    มันจะเริ่มวิ่งไปยังอวัยวะส่วนต่างๆภายในร่างกายได้ ตามแต่ที่มันเคยฝึกมา
    บางทีก็วิ่งเข้าในเส้นเลือดก็ได้ วิ่งไปดูอวัยวะชิ้นโน้นนี่นั้น..
    แต่ตรงจุดนี้ ถ้ามันยังเห็นว่า ร่างกายส่วนไหนของเรามันพร่อง มันก็จะรีบ
    วิ่งไปตรงอวัยวะชิ้นนั้นทันทีครับ และมันก็จะทำการรักษา
    ก็จะเป็นแสงสีขวาสว่างมากๆ และสุดท้ายก็เกิดการระเบิด
    เสียงดังพอๆกับระเบิด ตรงนี้ถ้าเป็นได้ ร่างกายบริเวณนั้นเรา
    ก็หายทันที แม้ว่าจะเคยเป็นมากี่ปีแล้วก็ตามครับ...
    และสิ่งที่ได้ตามมาก็คือ เราจะตัดเรื่องการยึดติดร่างกายได้...
    พูดง่ายๆ เรามองเห็นมนุษย์ ที่คนทั่วไปว่าสวยงาม
    แต่ตัวจิตเรามันจะมองเฉยๆ ไม่มีการปรุงแต่งอะไรครับ...
    ที่นี้ เราก็ต้องมาดูว่า ตัวจิตเราเป็นกรณีไหน.....


    ถ้าเราเป็นกรณีแรก ในทางกิริยาถ้าเราทำได้ เราจะมีความ
    สามารถแบบสัมผัสภายในครอบคลุมในระดับใช้งานได้ทันทีครับ
    ในเวลาลืมตาปกติด้วยครับ เรียกว่า จะให้หู ใช้ตา จะย้อนอดีตฯลฯ
    จะทำได้เลยเหมือนเป็นเรื่องปกติของเรา....

    เด่วมีต่อ

     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,487
    มาต่อครับ
    ถ้าตัวจิตเราเป็นกรณีที่สอง เราจะสัมผัสกิริยาระหว่างทางของ
    เรื่องพิเศษๆในทุกๆเรื่องได้เช่นกัน เพียงแต่ว่า มันจะติดๆดับๆ
    ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง และมันก็จะรวมทั้งที่ใช้ได้แบบตั้งและไม่ตั้งใจ
    ร่วมด้วยครับ...ซึ่งความสามารถในการใช้งานได้ของเรื่องพิเศษ
    ต่างๆของเราจะแปรผันตามระดับกิเลสของเรา..ซึ่งต้องมาต่อยอด
    ด้วยการเจริญสติ การเดินปัญญาทางธรรม เพื่อค่อยๆลด ละ กิเลส
    และจะเริ่มใช้ได้ดีขึ้น เมื่อ เราเริ่มจะ ตัด ลาภ ยศ สุข สรรเสริญได้
    ซึ่งก็จะเป็นไปตามลำดับของมันเองครับ......

    เรื่องข้อข้องใจที่ ๒ ก็จะบอกว่า เป็นเรื่องปกติอีกหละครับ..
    อาจเพราะว่า เราเคยได้ยินตำรามาอย่างหนึ่ง แต่พอเราพบ
    กิริยาขึ้นจริงๆที่ตำราได้กล่าวไว้ เราไม่เข้าใจเฉยๆว่ามันคือ
    แบบที่ตำราเขียนไว้นั่นหละครับ...
    ถ้าคุณได้รับรู้มาจากการอ่าน ท่านจะเขียนรวดเดียวจบจน
    จนถึงใช้งานแบบไหน แต่ว่าจะเขียนแบบเน้นๆหลักๆไม่ได้ลง
    รายละเอียด แต่ถ้าคุณได้ยินจากสือมา ท่านก็จะสอนเทคนิค
    ให้แต่ตอนที่ท่านสอนเทคนิค ท่านจะลดน้ำเสียงเบาลงมา
    และพูดโทนเสียงเดียวกัน..ตรงนี้ลองสังเกตุให้ดีๆครับ...
    แต่ถ้าคุณได้พบได้เห็นท่าน มาสอนเทคนิคให้คุณไม่ว่า
    คุณจะกำลังฝึกกรรมฐานอะไรอยู่ ถ้าคุณเข้าใจและผ่านได้
    คุณจะสามารถใช้ความสามารถนั้นได้ทันที ในเวลาลืมตา
    ปกติครับ.ย้ำว่าลืมตาปกติครับเช่น ถ้าสอนเรื่องเกี่ยวกับอฐิษฐานจิต
    คุณจะใช้เรื่องความสามารถภายในได้หมด
    เช่น ย้อนอดีต ดูโน้นนี่นั้น ฯลฯ
    ถ้าสอนเรื่องกสิณ
    คณจะสามารถใช้กสิณใช้พลังงานกสิณได้หมดทุกกอง
    ที่สำคัญจะสามารถทำให้คนอื่นๆรับรู้ สัมผัสได้ด้วยครับ
    แต่พวกนี้แม้ทำได้จริงก็ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ...
    **** แต่ถ้าคุณไม่สามารถทำได้อย่างที่กล่าว
    เป็นปกติแล้วในชีวิตประจำวันนะครับ...
    ให้คุณระวังความคิดให้ดีๆและมากๆครับ..เพราะว่าจะ
    ทำให้หลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง
    และก็ไม่ว่าในนิมิตเป็นใครมาสอน(ตรงนี้ถ้าเรารักษา
    อารมย์ไว้ด้วยกำลังสติและจ้องไปที่นิมิต เราจะทราบได้
    เองครับว่า นิมิตนั้นจริงๆหรือไหมจริง ส่วนมากที่พลาดกัน
    เพราะเห็นแว๊บหนึ่งแล้วยึดถือและเชื่อเลย ก็เลยเสร็จครับ)
    และทั้งๆที่ตัวเองแสดงอะไรพิเศษก็ไม่ได้
    รับรู้ได้แค่คนเดียวก็จะคิดว่า ตัวเองเก่งครับ..
    ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณ มาอ่านคุณจะประหลาดใจ
    แต่คุณก็จะพบว่า ก็ยังมีบุคลลแบบนี้ให้เห็นอยู่ประจำครับ....
    เพราะจะคิดว่า กิริยาอะไรที่ตัวเองทำได้
    คือสุดยอดที่สุดเก่งที่สุด
    ตรงนี้ถือว่า เล่าสู่กันฟังนะครับ ****
    ตรงนี้ต้องให้ ๔ ดาวเพราะว่าถ้า
    เป็นแล้วจะกู๋ไม่ครับ ยิ่งถ้าติด ในลาภ
    ยศ สุข สรรเสริญแล้ว นอกจากความเข้าใจ
    ทางด้านนามธรรมจะผิดๆ อนาคตจะเพี้ยนได้ครับ...

    ข้อข้องใจเกี่ยวกับการถอยอารมย์ ปกติแล้วถ้าเรามา
    ถึงจุดที่จะอฐิษฐานจิตได้ พอเราระลึกเรื่องที่จะอฐิษได้
    ซึ่งมันจะผุดขึ้นมาเอง อารมย์สมาธิมันจะถอยหลังลง
    มาเป็นเรื่องปกติครับ..เพื่อมาดึงเอาความเป็นทิพย์
    ของจิตมาใช้งาน ก็เพราะจิตจะเป็นทิพย์ในอารมย์
    อุปจารสมาธิอยู่แล้วครับ..และพอเราเฉยๆรักษาอารมย์ไว้
    เด่วสภาวะสมาธิมันก็จะกลับขึ้นมาเองตามลำดับ..
    และก็จะแสดงผลให้เราเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งครับ
    ถ้าคุณ อฐิษฐานจิตไว้เรื่องใด พอกลับขึ้นมามันก็จะ
    แสดงเรื่องนั้นให้เราดู แต่พวกนี้แปลกตรงถ้าเรายัง
    รักษาอารมย์ได้ และเราระลึกเรื่องที่จะอฐิษฐานได้
    มันจะแสดงเป็นเรื่องต่อไปให้เราดูเลย โดยที่อารมย์
    จะไม่ย้อนกลับมาอุปจารสมาธิอีกครับ..
    ลองไปสังเกตุตรงนี้ดูได้ครับ.....
    ถ้าไม่ได้อฐิษฐานจิตไว้ เมื่อถึงอารมย์นี้
    แล้วอารมย์จิตมันมาตามลำดับปกติอย่างที่เล่า
    ก็จะเป็นกริยาอย่างที่เป็นนั่นหละครับ..
    เพราะอย่างน้อย. เมื่อดึงความเป็นทิพย์ได้แล้ว
    และกลับขึ้นมา มันจะต้องเกิดความพิเศษๆอย่างๆ
    ใดอย่างหนึ่งอยู่แล้วครับ เพียงแต่ของคุณไปตรงที่หูครับ...

    ถ้าพูดเกี่ยวกับเรื่องพิเศษเกี่ยวกับหูนั้น...
    จะเล่าให้ฟังต่อว่า การที่เราจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีความ
    สามารถทางหูได้ ในทางปฏิบัติเราจะต้องได้ยินเสียง
    นามธรรมชัดเจน และใสแจ๋ว ย้ำว่าใสแจ๋ว..
    ในเวลาปกติ เราจึงกลายเป็นผู้มีหูดีกว่าปกติได้ครับ....

    ส่วนถ้าได้ยิน เสียงนามธรรมคุยกัน ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง...
    ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง ได้ยินเสียงแมลงบิน ได้ยินเสียง
    แมลงขยับปีก แบบชนิดที่ว่า เหมือนใบพัดเครื่องบิน..
    หรือได้ยินมดมันเอา อวัยวะแตะกัน แล้วแปลเป็นภาษาได้...
    กิริยาพวกนี้ ถือว่าเป็นแค่กิริยาปกติระหว่างทาง..
    ไม่สามารถทำให้เกิดเป็น บุคคลหูพิเศษ ใช้งานได้ปกตินะครับ...
    แต่ถ้าเผลอไปยึด จะกลายเป็นคนหลงตัวเองทันทีครับ...
    ตรงนี้ก็ต้องระวังเช่นกันครับ
    และถ้าสังเกตุเพิ่มเติมอีกอย่าง ตรงนี้เป็นทริคนะครับ...
    กิริยาที่จะหนุนให้ตาดีๆ.
    มักจะมาพร้อมกิริยาที่จะหนุนให้หูดีๆเพื่อมาลวงตาเราให้แย่ลงครับ..
    และถ้าตาเรายังไม่ดีพอ แต่เราไปสนใจหู
    ทั้งตาและหูเราก็จะ
    ติดๆดับๆครับ
    ...แต่ถ้าตาเราไม่ดี แต่เราไม่ไปสนใจหูเลย...
    ตาเราจะดีครับ คือ จะนึกใช้งานก็จะเห็นภายในเสียววินาที...
    แต่ไม่ใช่ว่าหูเราจะดีเลยนะครับ...เราก็ต้องมาค่อยๆลดละกิเลส
    ตัด ลาภ ยศ สุข สรรเสริญต่อ แล้วหูเรามันจะดีขึ้นมา
    ได้ของมันเองโดยที่ไม่ต้องไปฝึกอะไรคับ.....

    สุดท้ายนี้ มีข้อแนะนำ ๓ แนวทางครับ
    ถ้าเรามาถึงสภาวะอารมย์ ที่จะอฐิษฐานได้..
    ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะชอบไปทางไหน..
    ๑.หนึ่งซ้อมอฐิษฐานจิต ให้คล่องเพื่อที่
    ในเวลาปกติจะใช้งานได้ปกติ...
    แต่ต้องมาเพิ่มเติมการสร้างกำลังจิตต่อ
    เพราะแม้สัมผัสภายในดี แต่ภูมิต้านท้านพลังงาน
    ภายนอกเราจะยังไม่ดีครับ...เพราะถ้าเราแยกแยะ
    พลังงานดีหรือไม่ดีไม่ออก จะถูกหลอกให้ยึดติด
    ในสิงที่เห็นจนกลายเป็นตัวตนได้..
    และก็มาวิปัสสนาตัดร่างกาย
    ตัดกิเลสต่อครับ..

    หรือ ๒.ทิ้งภาพซะ รักษาอารมย์ไว้แล้วดึงภาพกลับมา
    และก็ทิ้งภาพอีก และเราไปขึ้นวิปัสสนา
    เราจะเป็น คนที่มีพื้นฐานสมาธิกำลังสูง
    และสามาถตัดเรื่องกิเลสต่างๆได้จนถึงขั้นละเอียด
    และเราจะมีความสามารถในการเข้าถึง
    วิญญาน อากาศ ความว่างได้ดี..เป็นปกติ
    สามาถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำได้ด้วยตาเปล่า
    เป็นเรื่องปกติ แล้วเล่าค่อยมาพัฒนา
    การคลายตัวของจิตในระหว่างวันต่อ
    เพื่อต่อยอดระดับความสามารถในการใช้งาน
    ให้ได้ผลดียิ่งขึ้นต่อไปครับ...

    ๓.หรือพลิกไปปั่นเป็นปฏิภาคนิมิตไปเลย
    ให้เปลี่ยนภาพเป็นกสิณกองที่ชอบ..
    ไม่แนะนำให้เล่นไฟ เพราะมีผลต่อสภาพจิตใจ
    และร่างกายในเวลาใช้งาน..
    ให้เล่นน้ำ หรืออะไรก่อนก็ได้ แล้วค่อย
    นำน้ำมารวมกับไฟ เวลาใช้งานในเวลาปกติ
    ถึงจะส่งผลต่อจิตใจและร่างกายในระดับ
    ที่สามาถมาเคลียร์ได้ จนไม่เกิดการสะสม
    จนกลายเป็นโรคร้ายแรงในอนาคตครับ..
    และค่อยมาพัฒนาเรื่องการคลายตัวของจิตต่อไป
    ในอนาคตครับ...

    ปล.ถ้า เราคิดว่าเรามาถึง ในข้อที่ ๒ และ ๓
    แต่ตัวจิตเราไม่มีความสามารถเล่นในเรื่องพลังงาน
    ไม่ว่า เรียก หนุน ดึง ดูด หรือส่งไปยังที่ต่างๆ
    สัมผัสเรื่องพลังงานต่างๆ เราไม่ดี..ตาไม่ดีขึ้น
    ในเวลาปกติใช้ชีวิตประจำวันแล้ว...
    ให้พึ่งระลึกไว้เสมอว่า เราอาจจะยังพลาด
    จุดใดจุดหนึ่งอยู่...ถ้าไม่งั้นประกันได้ว่า
    จะหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆที่
    ไม่สามารถแสดงหรือทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้ครับ...
    ประมาณนี้ครับ เด่วถ้ากำลังสติทางธรรมมากขึ้น

    กำลังสมาธิสะสมมากขึ้น ความเข้าใจทางนามธรรม
    เราจะดีขึ้นเองตามลำดับ และถ้ากำลังสมาธิสะสม
    เพิ่มขึ้นเราก็จะเริ่มมีภูมิต้านท้านพลังงานภายนอกได้เอง
    และเราตัดกิเลสได้น้อยๆลง เรื่อยๆ ก็จะเข้าใจ
    ในภาพรวมที่สื่อทั้งหมดได้ด้วยตัวเราเองครับ..
    พวกนี้ต้องอาศัยการสังเกตุ ที่สำคัญก็คือ อย่าไปเผลอยึด
    ติดในขั้นตอนใด ขั้นตอนหนึ่งครับ..
    เราจะปลอดภัยทั้งกายและใจเราเองครับ
     
  7. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    สมาธิขั้นสูง ต้องไร้วิตก วิจาร เพราะมีวิตก วิจาร ก็จะข้ามฌาน 1 ไม่ได้
    สมาธิต้องนิ่งในองค์ปฏิบัติ อาปาฯก็ต้องนิ่งของลมหายใจกระทบจุด ที่จุดใดจุดหนึ่ง ริมฝีปากหรือปลายจมูก คำภาวนาต่อไปก็ต้องหายไป เมื่อหายไปแล้วก็ไม่ต้องหา เพราะนั้นคือว่าเรากำลังขึ้นฌานสูงไปเรื่อย นิ่งของนิ่งคือคำตอบสุดท้าย
    อะไรก็ไม่เที่ยง เจ็บไม่เจ็บ ปวดไม่ปวด มันก็ไม่เที่ยง
    ฌานยิ่งสูงอารมณ์ยิ่งรุนแรง เหมือนนั่งรถที่เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เร็วจนเหมือนเหาะนั้นเเหละ (ที่ว่ามาคืออารมณ์ฌานที่ 4 ครับ)
    เจริญในธรรม
     
  8. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    อ่านคำตอบของท่านเเล้วยังไม่ทันจบขนลุกครับ

    ช่วงหลังๆผมได้ยินเสียงสวดมนต์บ่อยมาก บางทีผมดูโทรทัศน์อยู่ ทำกับข้าวอยู่ได้ยินเสียงคิดว่า พระที่ไหนมาสวดมนต์ หลายครั้งเลยครับจนรู้สึกว่า พระมาสวดงานอะไรนะจนอยากไปหาดูครับ เหมือนได้ยินไกลๆ ครับ เเต่ชัดเจนดัง ในระดับเดิมเรื่อยๆครับ ครั้ง 1 ดู utube เเล้วเจอคนตกกุ้งอยู่ ผมได้ยินเสียงพระสวดเลยคิดในใจว่าไอคนนี้อยู่ใกล้วัดยังจะมาจับกุ้งอีก เเละตอนนั้นผมก็เชื่อว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ จนมาตอนหลังทำกับข้าวอยู่มาอีกละถึงกับถามพ่อเเม่ พระที่ไหนมาสวดงานอะไร ผมเดินออกมาดูเลยทีเดียว เเละก็หงุดหงิดไปครับว่าเราเนี่ยเป็นอะไรวะ ไม่ได้คิดอะไรที่ท่านบอกเลยครับ จะงหวะนี้จึงขนลุกหน่อยครับ
     
  9. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    Update การปรับปรุงครับ

    วันนี้คือวันเสาร์ที่ 30/4/59 ผมจะขอเล่าถึงเรื่องของเมื่อวานหลังจากที่ได้คำเเนะนำของท่านไปแก้ไขในเมื่อวานครับ ผมอ่านเเล้วรู้สึกว่าผมต้องปรับปรุงการเข้าสมาธิให้ละเอียดตามขั้นมากขึ้น ให้เข้าใจอารมณ์ชัดเจนหนักเเน่นมากขึ้น เช้าวันศุกร์ ผมได้ ย้ายที่นั่งสมาธิในห้องโถงโปร่ง(ปกติห้องนอนมืดๆ) ผมพยายามจับลมดูลม(คล้ายโยนก้อนหินลงน้ำแล้วจะมีคลื่นน้ำสั้นเเละค่อยๆนิ่งเหมือนความสงบของลมหายใจเเละสมาธิเมื่อเวลาผ่านไป) ปกติผมจะนั่งพอตึงๆ 90 นาที วันนั้นพอดีอากาศดีชุ่มชื่นใจจึงฝืนๆนั่งต่ออีกนิด(เริ่มนิ่งเข้าที่เข้าทาง) เเละทันใดนั้นใจมันบอกกับตัวเองว่าถ้านั่งได้สบายอย่างนี้ เหมือนกินบุปเฟ่สมาธิเลยน่ะ จะนานเเค่ไหนก็ได้สบายๆ(สุดท้ายนั่งไป 120-130 นาทีครับทะลายสถิติ 90 นาทีครับ) ไม่นานนักขณะจับลมหายใจเริ่มรู้สึกว่าลมขยับเเค่สั้นๆลมไม่เข้าไม่ออกอย่างชัดเจน(เริ่มนิ่ง) เเละไม่กี่วินาทีต่อมา เกิดอาการวูบบเหมือนหลุดเข้าไปในเเสงสว่าง เเละในเวลาเดียวกันรู้สึกว่าหัวใจจะวายเพราะมันเต้นเเรงมากเสียงดังจนผมกลัวหัวใจจะเเตก(ไปถึงเส้นเลือดจุดอื่นๆตุบๆๆ) เเละขณะเดียวกันมีคนจบไหล่ผมโยกหน้าหลังอย่างเเรงชนิดที่รู้สึกว่า "เลิกก็ได้วะเหวี่ยงสะขนาดนี้ทนไม่ไหว" ทั้งหมดนี้ทำให้ผมต้อง ถอนสมาธิกลับออกมา เพราะหัวใจจะวายเเละร่างมันโยกจนทรงสมาธิทรงไม่อยู่ครับ อาการปิติคราวนี้ผมไม่ใช้คำว่าชัดเจน เเต่ขอให้คำว่ารุนเเรงพายุ ครับ สรุปว่าดีใจที่ตัวเองนั่งได้นนานขึ้น เเละ เข้าถึงปิติที่เเจ่มใสชัดเจน รวมถึงเเสงสว่างขณะนั้น ณ จุดนี้ทำให้ผมนึกถึงคำหลวงพ่อฤาษีที่ว่า ชาญ 4 จะนั่งนานเเสนนานก็ยังสบาย เเละอาการที่ว่าลมหายใจเหมือนไม่หายใจ เเต่หูผมยังได้ยินเสียงกระเทือนใจอยู่เเต่ทรงสมาธิได้ครับ โดนรวมเเล้วผมคิดว่า ผมทรงชาญ 3 ต้น-กลาง เพราะผมเข้าใจว่า ชาญ 4มีเเค่ 1 อารมณ์นิ่ง ไม่มีปิติสุข คือผมยังมีอาการปิติที่รุนเเรง(ตรงนี้ผมเข้าใจผิดถูกช่วยชี้เเนะด้วยครับ)

    วันต่อมาผมได้ไปฝึกที่บ้านสายลมวันเเรก ผมก็ทำใจเเล้วละว่า ผมก็คงได้เเค่มโนไปเอง
    55 เเละมันเป็นเช่นนั้นเสีย 80-90% หลังจากเสร็จผมก็ไปฟังครูอีกห้อง ชื่อ ครูประภา อายุราว 65 ผมก็สนใจเเละได้ติดตามครูไปเพื่อสอบถามข้อข้องใจ(ความชัด เเละความมั่นใจของผลการฝึก) เเละก็มี ศิษย์เดิมไปด้วย 1 คน มีจังหวะนึงครูพูดว่าคนนี้สามารถรับรู้เห็นได้ เเละถามผมว่าตอบถูกหมดเลยสิ ผมตอบว่าผิดเสียมากครับเเละก็ยิ้มแหะๆ... สักพัก จารถามผมเห็นไหมมี จิตมาขอส่วนบุญกับอีกคนหนึ่ง เเล้วถามผมเห็นไหม ผมว่าไม่เห็นครับเเละยิ้มแหะอีกตามเคย ซึ่งผมรู้ว่าวันนี้ผมมโน 80-90%(ผิด) ผมก็คิดว่า ครู มโนเปล่า 55 สักพักผมก็รับรู้ได้ว่า ครูเขาเห็นจริง เเละเป็นที่นับถือมากของศิษย์มาก เเต่กรณีของผมผมก็เฉยๆ เพราะจิตผมยังโง่ยังเลวไปจึงไม่ต้องการตัดสินอะไรครับ สรุปเเล้วที่เล่ามา ครูอาจจะรับรู้ได้ว่าผม เคยหรือพอจะมีจังหวะรับรู้ได้ อย่างที่ท่านผู้เเนะนำกล่าวถึง การได้ยินเสียงพิเศษ ครับ ขอ updateเพียงเท่านี้ก่อนครับ ที่ผมเล่ามาเพื่อเเชร์มุมมองการทำสมาธิเพราะผมทำสมาธิเองเเล้วลำบากใจครับไม่รู้ถูกผิดวันนี้พอจะจับทางได้ระดับหนึ่งจึงอยากมาเเชร์มุมมองครับ เเละเพื่อได้รับการชี้เเนะปรับปรุงจากผู้รู้ที่มีความเชียวชาญ ครับ ขอบพระคุณครับ

    เก็บตกตามที่ท่านผู้เเนะนำกล่าว อารมณ์ กาม เป็นอาการณ์ดีขึ้นมากครับ(ลดลง) ก่อนนนหน้าผมทำสมาธิเเล้วไม่อยากกาม ครับ เเต่พอนานๆไปมีอาการอยากบ้าง เเต่ตอนหลังนี้พอมีอาการบ้างเเต่พอเวลาผ่านเลยไปหน่อยเท่านั้นเราก็ลืมเเล้วกลับมาทรงอารมณ์นิ่งไม่อยากเหมือนเดิม ตายด้านเพิ่มขึ้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...